วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2551

ชื่อของไม้ดอกไม้ประดับ



ชื่อของไม้ดอกไม้ประดับ
แก้วเจ้าจอม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Guaiacum officinale linn
ตระกูล Zygophyllaceae
ชื่อสามัญ Lignum Vitae
ถิ่นกำเนิด อเมริกาใต้ และหมู่เกาะอินดีสตะวันตก
ลักษณะทั่วไป
แก้วเจ้าจอมเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูง 10 - 15 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นคดงอ กิ่งก้านเป็นปุ่มปมเป็นไม้เนื้อเเข็งมาก ต้นแตกใบพุ่มแผ่กว้างเหมาะเป็นไม้ปลูกในสนาม เปลือกของต้นสีเทาเข้ม กิ่งมีข้อพองเห็นเป็นปุ่มๆทั่วไป ใบ ประกอบแบบขนนกปลายคู่ มีใบย่อย 2 - 3 คู่ เรียงตรงข้ามคู่แกนกลางใบประกอบยาว 1 - 1.5 เซนติเมตร ก้านใบประกอบยาว 0.5 - 1.0 เซนติเมตร ใบย่อยไม่มีก้าน รูปไข่กลับ รูปไข่กว้างหรือรูปรีเบี้ยวเล็กน้อยมี 2 ชนิด คือ ใบย่อย 2 คู่ ออกดอกง่ายและชนิดใบย่อย 3 คู่ ออกดอกน้อยกว่าผิวของใบเป็นมัน ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีฟ้าอมม่วงหรือสีฟ้าคราม และจะจางลงเมื่อใกล้โรยมีกลิ่นหอมผล มีเนื้อขนาดเล็ก รูปหัวใจกลับกดแบนลง สีเหลืองสดใส หรือส้มเมล็ดแข็งรูปไข่ เป็นต้นไม้นำเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 5 ปลูกอยู่ในวังสวนสุนันทา(ปัจจุบันคือสถาบันราชภัฏสวนสุนันทา)ฤดูกาลออกดอก ออกดอกในช่วงเดือนธันวาคม-เมษายนและเดือนสิงหาคม-ตุลาคมสภาพการปลูก แก้วเจ้าจอมชอบอยู่กลางแจ้งเป็นไม้กลางแจ้งเติบโตได้ดีในดินร่วนระบายน้ำได้ดีการขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดหรือปักชำและตอนกิ่งการปลูกและดูแลรักษา ปลูกเป็นไม้ กระถางก็ได้หรือปลูกลงดินก็ได้ วัสดุที่ใช้ปลูก คือ ดินก้ามปู:ปุ๋ยคอกอัตราส่วน1:2:1


กุหลาบหนู

ชื่อวิทยาศาสตร์ Rosachinensis Jacq.var.minima voss
ตระกูล Rosaceaeชื่อสามัญ Fairy Rose,Pygmy Rose
ถิ่นกำเนิด -
ลักษณะทั่วไป
กุหลาบหนู เป็นกุหลาบที่มีความสวยงามน่ารักและสดใส เป็นไม้พุ่ม สูง 20 - 50 เซนติเมตร ลำต้นมีหนามใบประกอบออกสลับ ใบย่อย 5 ใบ เป็นรูปรี ขอบหยัก ปลายแหลม โคงมน หูใบติดกับก้านใบ สีเขียวสดดอก มีหลายสี เช่น สีแดง สีขาว สีชมพู และดอกเดียว 2 สี ออกเป็นดอกเดี่ยวๆที่ปลายยอด กลีบดอกมีทั้งชั้นเดียวและหลายชั้น มีกลีบดอกห้ากลีบ เกสรตัวผู้และตัวเมียแยกที่อยู่กัน ชนิดสองสี ปลาบกลีบดอกเป็นสีแดง โคนกลีบดอกเป็นสีขาว เวลาออกดอกบานจะดูสวยงามสดใสมาก
ฤดูกาลออกดอก
ออกดอกตลอดทั้งปี
สภาพการปลูก
กุหลาบหนูเป็นไม้กลางแจ้ง ปลูกได้ทั้งลงดินและปลูกลงกระถาง เป็นไม้ชอบแดดจัด ไม่ชอบน้ำท่วมขัง
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด การตอนกิ่ง การปักชำกิ่ง การติดตา และหน่อ
การดูแลรักษา
ถ้าปลูกลงดินควรยกแปลงปลูกให้สูง ปลูกในกระถางควรทำทางระบายน้ำใหัน้ำไหลดี ตั้งในที่ที่มีแดดส่องถึงทั้งวันดินปลูกเพิ่มฟางแห้งหั่น ปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก แกลบดำ แกลบดิบ คลุกให้เข้ากัน จากนั้นนำต้นลงปลูก กลบดินโคนต้นให้แน่น ใช้ฟางแห้งคลุมหน้าดินไว้ บำรุงปุ๋ยขี้วัวขี้ควายแห้งโรยตามหน้าดิน15วันครั้งจะทำให้โตเร็วและมีดอกสวยงาม



กล็อกซิเนีย

ชื่อวิทยาศาสตร์ Sinningia speciosa
ตระกูล Gesneriaceae
ชื่อสามัญ Gloxinia ถิ่นกำเนิด ประเทศบราซิล
ลักษณะทั่วไป
กล็อกซิเนียเป็นไม้เนื้ออ่อนล้มลุก พุ่มต้นสูงประมาณ 15-30 ซม. มีหัวใต้ดิน ใบสีเขียวสด รูปไข่ อวบน้ำ ขอบหยักมน มีขนทั่วใบ ใบผึ่งกางปรกกระถาง ดอกออกเป็นกลุ่มชูตั้งขึ้นเหนือกลุ่มใบ ดอกมีสีสด กลีบดอกเหมือนกำมะหยี่มีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกช้อน ขนาด 5 - 7 ซม. ดอกรูประฆัง ปลายแยก 5 - 12 กลีบ มีขนปกคลุม ดอกมีสีขาว ชมพูอ่อน-เข้ม แดง ม่วง และสองสีในดอกเดียวกัน ทำให้ดอกสวยเด่น จำนวนดอกที่บานคราวหนึ่ง ๆ อาจมีตั้งแต่ 1 ดอก ไปจนถึง 12 ดอก หรือมากกว่าแล้วแต่พันธุ์และการดูแลรักษาฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดทั้งปีไม่มีกลิ่นหอมสภาพการปลูก เติบโตได้ดีในดินร่วนอมความชื้นแสงรำไรต้องการแสงสว่างไม่มากนักสามารถปลูกกล็อกซิเนียภาย ในบ้านเรือน โดยใช้แสงจากหลอดไฟก็เพียงพอ แล้ว เนื่อง จาก กล็อกซิเนียไม่ต้องการแสงแดดโดยตรงดินที่ใช้ควรมีอินทรียวัตถุ สูง ๆ อาจใช้ทราย 1 ส่วน ใบไม้ผุ 1 ส่วน ปุ๋ยคอกหรือมะพร้าว 1 ส่วนก็ได้ การขยายพันธุ์ กล็อกซีเนียขยายพันธุ์ได้ง่ายมาก และทำได้หลายวิธี แทบทุกส่วนของต้นนำไปขยายพันธุ์ได้หมด ด้วยกิ่งใบปักชำเมล็ดหัวฝอยจากดอก แต่นิยมกันมากที่สุด คือขยายพันธุ์ด้วยหัว
การดูแลรักษา
กล็อกซีเนีย เป็นไม้ต้องการแสงแดดรำไรกินน้ำมากภายในกระถางควรชื้นตลอดเวลาการให้น้ำ ควรให้น้ำทางก้นกระถางโดยให้น้ำจากจานรองกระถางซึมขึ้นไปหรือรดน้ำที่โคนต้นไม่ควรให้โดนดอกและใบเพราะทำให้น้ำขังตามใบ ก็จะทำให้เน่าเป็นวงได้ เมื่อเริ่มเน่าเป็นวงที่ใบก็จะรามไปทั้งต้น ควรปลูกในกระถางลึก ประมาณ 4-5 นิ้วไม่ควรใช้กระถางใหญ่กว่านี้



เชอรี่


ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus Cerasoides
ตระกูล Rosaceae
ชื่อสามัญ -
ถิ่นกำเนิด อเมริกาใต้ และหมู่เกาะอินดีสตะวันตก
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม สูง 3 - 5 เมตร เนื้อไม้เข็ง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม ทรงกลม ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ใบหนา รูปโค้งรี ขอบจัก ปลายใบแหลม สีเขียวสดถึงเข้ม เป็นมัน เมื่อถึงฤดูหนาวจะทิ้งใบ ดอก ออกเป็นกระจุกตามซอกใบแต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย 3 - 5 ดอก กลีบดอก5 กลีบ เป็นสีกุหลาบ มีเกสรตัวผู้ สีเหลือง สดโผล่พ้นกลีบดอก เวลามีดอกทั้งต้นดูสวยงามมากผล เป็นรูปกลมแป้นหรือกลมรี โตประมาณ 1 - 1.5 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียวอ่อน เมื่อสุขเป็นสีแดงเข็มรับประทานได้รสเปรี้ยวจัดแกมฝาดเล็กน้อยภายในมีเมล็ด ฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดทั้งปีสภาพการปลูก เติบโตได้ดีในดินทั่วไปชอบเเดดไม่ชอบน้ำท่วมขังการขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่งการดูแลรักษา ปลูกเป็นไม้กระถางก็ได้หรีอปลูกลงดินก็ได้บำรุงด้วยปุ๋ยมูลสัตว์หรือปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก โรยกลบฝังดินรอบโคนต้น 15 วันครั้ง รดน้ำเช้าเย็น จะโตเร็วและมีผลดก เชอรี่
ทองอุไร

ชื่อวิทยาศาสตร์ Tecoma stans
ตระกูล Bignoniaceae
ชื่อสามัญ TrumpetVine,YellowBell ,Yellow Elder
ถิ่นกำเนิด อเมริกา เม็กซิโก อาร์เจนตินา
ลักษณะทั่วไป
ทองอุไรเป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 2-4 เมตร ลำต้นเล็ก แผ่กิ่งด้านบนเป็นพุ่มกลม โปร่ง ใบประกอบขนนกมีใบย่อยที่ปลายสุด จำนวน 7 - 11 ใบ สีเขียวอ่อน ขอบใบย่อยหยิกเป็นฟันเลื่อย ผิวสัมผัสละเอียด ลำต้นสีน้ำตาลนวลตลอดทั้งต้น ก้านใบช่อดอกอ่อนเป็นสีเขียว ดอกสีเหลืองสด มีรูปลักษณ์คลายระฆัง หรือแตร หรือทรัมเป็ต ออกดอก เป็นช่อตามปลายกิ่ง ดอกดกมาก กลีบดอกติดกันเป็นรูปกรวยยาว 3 - 4 เซนติเมตร ปลายกลีบมี 5 กลีบ มีลักษณะกลมเป็นคลื่นเล็กน้อย กลีบเลี้ยงเป็นรูปกระดิ่งสีเหลือง แยก 5 แฉกกลีบดอกปลายแยก 5 กลีบรับกัน เกสรตัวผู้4 อัน ผลเป็นฝักกลมยาว 12 - 14 เซนติเมตร เมื่อฝักแก่เต็มที่ก็จะแตกออกได้เอง เมล็ดแบนสีน้ำตาลกระจายเมล็ดไปตามลม
ฤดูกาลออกดอก
ออกดอกตลอดทั้งปี ไม่มีกลิ่นหอม
สภาพการปลูก
เติบโตได้ดีในดินร่วนทุกชนิด ที่ความชื้นปานกลาง ระบายน้ำได้ดี แสงแดดจัดเต็มวัน
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการ เพาะเมล็ดและตอนกิ่ง
การดูแลรักษา
ทองอุไรดอกสีเหลืองสดใส ปลูกง่าย เกิดง่าย ในเขตร้อนทั่วไป ขอเพียงให้มีเเดดเต็มที่มีน้ำเพียงพอ ทองอุไรจะให้ดอกพราวทั้งต้น สดสวยตลอดปี ไม่ควรปลูกในที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง นิยมปลูกข้างถนน เกาะกลางถนนและเหมาะสำหรับปลูกมุมใดมุมหนึ่งของบ้านที่แดดถึง จะปลูกในกระถางไว้ที่ระเบียงบ้านก็ย่อมได้



นีออน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Leucophyllum frutescens (Berl.). I.M.
ตระกูล Scrophulariaceae
ชื่อสามัญ Barometer Bush, Ash Plant
ถิ่นกำเนิด เม็กซิโก
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้พุ่ม สูง 1 - 2 เมตร พุ่มกว้างประมาณ 1 - 2 เมตร ใบเดี่ยว ผิวสัมผัสละเอียด ใบรูปไข่กลับถึงรูปรีสีเขียวอมเทายาว 2-3 เซนติเมตร มีขนอ่อนนุ่ม มักบิดห่อขึ้นเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่งโคนกลีบดอกเป็นดอกสีม่วงจางปลายแยกเป็น5แฉกสีม่วงสดถึงสีชมพูอมม่วงแดง มักออกดอกพร้อมกันทั้งต้น
ฤดูกาลออกดอก
ออกดอกตลอดทั้งปี
สภาพการปลูก
นีออน เป็นไม้กลางแจ้ง ชอบแสงแดดจัด ปลูกได้ในดินทั่วไป
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่งและการตอนกิ่ง
การดูแลรักษา
ปลูกในที่ร่มจะให้ใบสีเขียวและออกดอกน้อยกว่าปลูกกลางแจ้งแดดเต็มวันและสามารถตัดแต่งทรงพุ่มได้จะทำให้ดูสวยงามและหมั่นตัดแต่งกิ่งพรวนดินและใส่ปุ๋ย กิ่งที่แตกใหม่จะแข็งแรง และจะทำให้ดอกดก นีออน
บานเช้าสีนวล

ชื่อวิทยาศาสตร์ Turnera Subulata G.E. Sm.
ตระกูล Turneraceae
ชื่อสามัญ Sage Rose
ถิ่นกำเนิด อเมริกาเขตร้อน
ลักษณะทั่วไป
บานเช้าสีนวลเป็นพรรณไม้ที่มีลักษณะของลำต้นเป็นทรงพุ่ม กึ่งเลื้อย แตกกิ่งชี้ขึ้นไปลำต้นสูงประมาณ 30 - 80 ซม.ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ ๆ สลับกัน ใบมนรี ปลายแหลม ขอบใบจัก ใบมีสีเขียวเข้มและดกเป็นพุ่มหนาดอกนั้นจะเป็นดอกเดี่ยว ดอกมีสีเหลืองนวล กลางดอกแต้มสีน้ำตาลแดงเข้มลักษณะของดอกฤดูกาลออกดอก
เป็นหลอดสั้น ๆ ตรงปลายดอกจะแยกออกเป็น 5 แฉกดอกบานเต็มที่ประมาณ 3 - 4 ซม. ดอกจะบานในช่วงเช้า พอตกกลางวันแดดจัดก็จะหุบ ออกดอกตลอดทั้งปีแต่อาจมีดอกน้อยลงในช่วงฤดูฝน
สภาพการปลูก
บานเช้าสีนวลเป็นไม้ ที่ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งแดดเต็มวันและแสงแดดรำไร
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ด และการปักชำกิ่งหรือตอนกิ่ง
การปลูกและดูแลรักษา
นิยมปลูกเป็นกลุ่มหรือเป็นแปลง ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วนซุย อุดมสมบูรณ์ ต้องการน้ำปานกลางแม้จะทนร่มได้บ้าง แต่ก็จะให้ดอกน้อยลง จึงควรปลูกทางทิศตะวันออก เพื่อให้ได้แสงเต็มที่ในช่วงเช้าควรตัดแต่งปีละ 1- 2 ครั้ง เพื่อให้เป็นพุ่มแน่น หลังตัดแต่งควรบำรุงต้นด้วยการให้ปุ๋ยหรือปรับปรุงดินปลูก



โป๊ยเซียน
ต้นไม้แห่งโชคลาภตามความเชื่อถือแต่โบราณ จัดเป็นไม้อวบน้ำอยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae ซึ่งเป็นวงศ์ใหญ่มาก พบได้ทั่วไปในประเทศเขตร้อน พืชในวงศ์นี้มีมากกว่า 300 สกุล โป๊ยเซียนจัดเป็นพืชที่อยู่ในสกุล Euphorbia ซึ่งพืชในสกุลนี้มีไม่ต่ำกว่า 2,500 ชนิด ได้แก่ คริสต์มาส สลัดได ส้มเช้า หญ้ายาง และ กระบองเพชรบางชนิดโป๊ยเซียน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า มงกุฎหนาม (Crown of Thorns) เนื่องจากลักษณะของลำตันที่มีหนามอยู่รอบเหมือนมงกุฎ นอกจากนี้ยังมีชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น กรุงเทพฯ เรียก ไม้รับแขก เชียงใหม่ เรียก ไม้ระวิงระไว, พระเจ้ารอบโลก หรือ ว่านเข็มพระอินทร์ แม่ฮ่องสอน เรียก ว่านมุงเมือง แต่คนไทยคุ้นเคยและรู้จักกันในชื่อ โป๊ยเซียน มาช้านาน คำว่า โป๊ยเซียน เป็นคำในภาษาจีน แปลว่า เทพยดาผู้วิเศษ 8 องค์ ดังนั้นจึงมีความเชื่อกันว่าถ้าโป๊ยเซียนออกดอกครบ 8 ดอกในหนึ่งช่อจะนำความโชคดีให้แก่ผู้ปลูกเลี้ยง ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้สันนิษฐานว่าชาวจีนน่าจะเป็นผู้นำโป๊ยเซียนเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทย ครั้งสมัยที่มีการติดต่อค้าขายกับคนไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งแต่เดิมนั้นดอกของโป๊ยเซียนจะมีขนาด 1-2 ซม. เท่านั้น แต่ในปัจจุบันคนไทยได้ผสมพันธุ์และพัฒนาสายพันธุ์โป๊ยเซียนจนมีขนาดดอกใหญ่กว่า 6 ซม. นอกจากนี้ดอกยังมีสีสันที่สวยงาม จนอาจกล่าวได้ว่าโป๊ยเซียนไทยดีที่สุดในโลก
ลักษณะโดยทั่วไป
โป๊ยเซียนเป็นไม้อวบน้ำที่มียางและหนามบริเวณลำต้น ทรงต้นเป็นทรงพุ่ม มีอายุยืนนับสิบปี เป็นไม้ที่ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศเนื่องจากสามารถสะสมน้ำไว้ตามลำต้นและใบ จึงทำให้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ส่วนประกอบโดยทั่วไปของโป๊ยเซียนมีดังนี้ลำต้น มีลักษณะเป็นไม้อวบน้ำมีหนามแหลมรอบลำต้น อาจมีรูปร่างกลมหรือเหลี่ยมบิดเป็นเกลียวแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เมื่อโป๊ยเซียนมีอายุมากขึ้นเนี้อไม้จะแข็งแต่ไม่มีแก่นเหมือนไม้ยืนต้นทั่วไป สีของลำต้นมีสีเทาอมน้ำตาลถึงเทาอมดำ
หนาม เกิดรอบลำต้น มีลักษณะฐานใหญ่ปลายเรียวแหลม อาจงอขึ้นหรือชี้ลงไม่แน่นอน การแตกของหนามอาจแตกเป็นหนามเดี่ยว หนามคู่ หรือหนามกลุ่มตั้งแต่สามหนามขึ้นไป กลุ่มของหนามอาจจะเรียงกันเป็นระเบียบตามแนวลำต้นเป็นเส้นตรงหรือบิดเป็นเกลียวรอบต้นก็ได้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
ใบ ส่วนใหญ่พื้นใบเป็นสีเขียวถึงเขียวอมเทา บางทีใต้ใบอาจมีสีแดงถึงแดงเข้มขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รูปใบมีหลายแบบ ได้แก่ รูปไข่ปลายใบมน ใบรีรูปหยดน้ำหรือรูปใบพาย ฯลฯ บางสายพันธุ์ใบอาจบิดเป็นเกลียว เป็นคลื่นหรือโค้งงอเล็กน้อย
ดอก โป๊ยเซียนเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีกลีบดอกสองกลีบ มีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ตรงกลางกลีบดอก โป๊ยเซียนออกดอกเป็นช่อ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกเป็นคู่ ตั้งแต่ สองดอก สี่ดอก แปดดอก สิบหกดอก สามสิบสองดอก หรือมากกว่านั้น สีของดอกมีหลายสี เช่น แดง ขาว ครีม เหลือง ส้ม เขียว นอกจากนี้ยังมีหลายสีและลายในดอกเดียวกันแตกต่างกันไปขึ้นกับสายพันธุ์ รูปทรงของดอกมีทั้งทรงกลม ยาว รี เหลี่ยม กลีบดอกตั้งขึ้นคล้ายกรวยหรือผายลงคล้ายร่ม ขนาดของดอกบางสายพันธุ์มีขนาดเล็กกว่า 1 ซม. แต่บางสายพันธุ์มีขนาดใหญ่กว่า 5 ซม. โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่พัฒนาโดยคนไทยบางสายพันธุ์มีขนาดใหญ่กว่า 6 ซม.
ผลและเมล็ด ดอกโป๊ยเซียนหลังจากที่มีการผสมเกสรติดแล้ว จะพบว่าที่บริเวณกลางดอกจะมีกระเปาะนูนขึ้นมาเป็นผลสีขาว มีลักษณะเป็นพูเล็กๆ 3 พู แต่ละพูจะมีเมล็ดอยู่หนึ่งเมล็ด เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลคล้ายเมล็ดพริกไทยและจะแตกออกพร้อมกับดีดเมล็ดกระเด็นออกไป
การปลูกเลี้ยงและดูแลรักษา
แม้ว่าต้นโป๊ยเซียนจะสามารถปรับตัวและเจริญเติบโตได้ดีในทุกภูมิภาคของไทยก็ตาม แต่การปลูกโป๊ยเซียนให้สวยงามนั้น นอกจากสภาพแวดล้อมแล้ว การดูแล รักษาก็นับว่ามีส่วนสำคัญ
ดินปลูก ควรเป็นดินชั้นบนมีอินทรีย์วัตถุพวกเศษพืช โดยเฉพาะใบก้ามปูและใบทองหลางที่เน่าเปื่อยผุพังคลุกเคล้าอยู่ในดินจนเป็นเนื้อเดียวกัน ดินประเภทนี้จะอุ้มน้ำและระบายอากาศได้ดี ทำให้รากของโป๊ยเซียนแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว การใช้ดินปลูกที่แน่นทึบและมีน้ำขังอาจทำให้รากและต้นโป๊ยเซียนเน่าได้ เมื่อปลูกโป๊ยเซียนได้ระยะหนึ่งควรทำการพรวนดินรอบๆ กระถางปลูก ห่างจากโคนต้นประมาณ 2 นิ้ว พร้อมทั้งใส่ปุ๋ยคอกลงไปในดินประมาณ 1-2 ช้อนแกง และควรเปลี่ยนดินปลูกทุกปี แสงแดด โป๊ยเซียนเป็นไม้ที่ชอบแดด การปลูกถ้าให้โป๊ยเซียนได้รับแสงแดดประมาณ 60-70% จะดีมาก โดยเฉพาะแดดตอนเช้าถึงตอนสายก่อนเที่ยง ถ้าได้รับแสงแดด 100% ทั้งวันต้นจะแข็งแรง สีของดอกจะเข้มแต่เล็กลงกว่าเดิม นอกจากนี้ใบยังอาจจะไหม้เกรียมได้ ถ้าให้โป๊ยเซียนได้รับแดดน้อยหรืออยู่ในร่ม ดอกจะโต สีดอกไม่เข้ม ต้นไม่แข็งแรง ดังนั้นจึงควรจัดให้โป๊ยเซียนได้รับแสงแดดประมาณ 60-70% โดยใช้ตาข่ายพรางแสงช่วยก็จะดีมาก อย่างไรก็ตามในฤดูร้อนอากาศแห้งแล้งแดดจัดและร้อนมากเกินไปอาจทำให้โป๊ยเซียนเหี่ยวเฉาได้ ดังนั้นความชุ่มชื้นในอากาศก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโป๊ยเซียนเช่นกัน
การรดน้ำ ตามปกติควรรดน้ำวันละครั้งในตอนเช้าและควรรักษาระดับความชื้นของดินให้พอเหมาะไม่แฉะหรือแห้งเกินไป เช่น ถ้าเป็นช่วงฤดูแล้งดินปลูกแห้งมากควรรดน้ำทั้งเช้าและเย็น ฤดูฝนถ้าวันใดฝนตกก็ไม่จำเป็นต้องรดน้ำแต่ควรตรวจดูผิวดินในกระถางด้วย ทั้งนี้เพราะใบของโป๊ยเซียนอาจปกคลุมกระถางจนทำให้ฝนที่ตกลงมาไม่สามารถลงไปในกระถางได้ ถ้าโป๊ยเซียนกำลังออกดอกควรหลีกเลี่ยงอย่าให้น้ำไปถูกดอกเพราะจะทำให้ดอกเน่าและร่วงเร็วกว่าปกติสำหรับน้ำที่ใช้รดควรเป็นน้ำที่มีสภาพเป็นกลาง ถ้าน้ำมีสภาพเป็นกรดอาจผสมปูนที่ใช้กินกับหมากลงไปเล็กน้อยก็ได้ ถ้าเป็นน้ำประปาหรือน้ำบาดาลควรมีบ่อหรือถังพักน้ำไว้หลายๆ วันจึงจะนำมาใช้ได้
การตัดแต่งกิ่ง โป๊ยเซียนบางต้นมีการแตกกิ่งก้านสาขามาก บางต้นมีลำต้นเดียวไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา ต้นที่มีกิ่งก้านสาขามากจะเป็นพุ่มทึบแสงแดดและอากาศถ่ายเทไม่สะดวก ทำให้โป๊ยเซียนออกดอกน้อยและมีขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งหลบซ่อนของโรคและแมลงศัตรูพืช ควรตัดกิ่งก้านออกบ้างเพื่อให้แสงและอากาศถ่ายเทได้สะดวก การตัดควรตัดให้ชิดลำต้นไม่ควรเหลือตอกิ่งไว้ กิ่งที่เหลือไว้ควรให้มีรูปทรงสวยงามเป็นไปตามธรรมชาติ หลังจากตัดกิ่งออกแล้วควรใช้ปูนแดงทาบริเวณรอยตัดเพื่อป้องกันเชื้อรา ส่วนกิ่งที่ตัดออกอาจนำไปขยายพันธุ์ต่อไป สำหรับโป๊ยเซียนที่มีลำต้นเดี่ยวไม่ค่อยแตกกิ่งก้าน ถ้ากิ่งสูงมากเมื่อโดนลมแรงๆ อาจทำให้ต้นหักได้ควรตัดยอดไปขยายพันธุ์เป็นต้นใหม่ ส่วนโคนที่เหลือก็จะแตกกิ่งก้านออกมาใหม่
การให้ปุ๋ย เมื่อปลูก โป๊ยเซียน เป็นเวลานานธาตุอาหาร ในดินก็ จะถูกใช้ไปเรื่อยๆจึงจำเป็นต้องเพิ่มธาตุอาหารหรือปุ๋ยลงไปในดิน การใส่ปุ๋ยให้กับโป๊ยเซียนสามารถใส่ได้ทั้งปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยวิทยาศาสตร์หรือปุ๋ยเคมี ปุ๋ยอินทรีย์อาจเป็นปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เช่น มูลวัว มูลสุกร มูลไก่ มูลค้างคาว รวมทั้งปุ๋ย กทม. ปุ๋ยเหล่านี้ทำให้ดินร่วนซุย ระบายถ่ายเทอากาศได้ดี ควรใส่เดือนละครั้งสลับกับการใส่ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีควรใช้ปุ๋ยที่มีคุณภาพดีซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งปุ๋ยละลายช้า ปุ๋ยเกล็ดและปุ๋ยน้ำโดยปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลากอย่างเคร่งครัด การให้ปุ๋ยเคมีควรให้ในช่วงเช้าและควรงดน้ำก่อนให้ปุ๋ย 1 วันเพื่อกระตุ้นให้รากดูดปุ๋ยได้มากขึ้น ควรรดหรือโรยเฉลี่ยรอบๆ ต้นเดือนละ 1-2 ครั้ง สำหรับไม้ที่ปลูกใหม่ๆ ยังไม่ควรให้ปุ๋ยเคมีเพราะระบบรากยังจับตัวกับดินไม่ดีพอประกอบกับรากอาจมีการฉีกขาดเนื่องจากการเปลี่ยนดินทำให้ปุ๋ยกระทบรากโดยตรงและเร็วเกินไป อาจทำให้โป๊ยเซียนตายได้ การใส่ปุ๋ยเพื่อให้โป๊ยเซียนออกกิ่งหรือดอกมีวิธีปฏิบัติดังนี้
การปลูกเลี้ยงเพื่อให้แตกกิ่ง การทำให้โป๊ยเซียนคายน้ำน้อยๆ จะทำให้โป๊ยเซียนไม่ออกดอกแต่จะแตกกิ่งแทน ดังนั้นสถานที่ปลูกจึงควรเป็นที่อับลม มีลมพัดผ่านน้อย มีแสงแดดไม่มากหรือพรางแสงด้วยที่พรางแสงประมาณ 60-70% มีความชื้นแต่ไม่แฉะ การวางกระถางก็ควรวางให้สูงจากพื้นเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้การยืดช่วงเวลากลางวันให้ยาวออกไปโดยการใช้หลอดไฟ Day Light 60-100 วัตต์ ส่องให้กับต้นโป๊ยเซียนในเวลากลางคืนก็จะช่วยให้ต้นโป๊ยเซียนออกกิ่งได้ดีขึ้น สำหรับดินที่ปลูกควรผสมปุ๋ยคอกมูลสัตว์ เช่น มูลวัว มูลไก่ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็ควรใช้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจนสูง เช่น 15-5-5, 25-7-7 ในปริมาณน้อยๆ ทุก 7-10 วัน
การปลูกเลี้ยงเพื่อให้ออกดอก จะตรงข้ามกับกับการปลูกเพื่อให้แตกกิ่ง คือการวางกระถางควรวางให้สูงจากพื้นประมาณ 60-70 ซม. เพื่อให้อากาศพัดผ่านก้นกระถางได้สะดวก เมื่อโป๊ยเซียนคายน้ำมากจะทำให้ออกดอก แสงแดดควรให้มากกว่า 50% หรือพรางแสงด้วยที่พรางแสง 40-50% แสงแดดจะช่วยให้สีของดอกมีสีเข้มขึ้น แต่ไม่ควรให้โป๊ยเซียนถูกแสงแดด 100% หรือถูกแสงแดดโดยตรงจะทำให้ใบไหม้เกรียมได้ ดินปลูกไม่ควรมีปุ๋ยคอกมูลสัตว์มากนัก ควรใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ที่มีธาตุฟอสฟอรัสค่อนข้างสูง เช่น 12-24-12 , 8-24-24 จะเป็นปุ๋ยที่ให้ทางดินหรือทางใบก็ได้ การรดน้ำก็ไม่ควรรดให้แฉะเกินไป เพราะ
การขยายพันธุ์
การผสมพันธุ์ เป็นการขยายพันธุ์อีกวิธีหนึ่งที่ผู้ผสมมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดโป๊ยเซียนพันธุ์ใหม่ๆ ที่ดีขึ้น โป๊ยเซียนต้นใหม่ที่ได้จากการผสมพันธุ์จะมีลักษณะแตกต่างไปจากต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ซึ่งอาจจะดีกว่าหรือด้อยกว่าก็ได้ ในปัจจุบันผู้ปลูกเลี้ยง โป๊ยเซียน ได้ผสมพันธุ์โป๊ยเซียนขึ้นมาใหม่มากมาย ได้มีการจดทะเบียนตั้งชื่อแตกต่างกัน ชื่อแต่ละชื่อจะมีลักษณะไปในทางที่ เป็นศิริมงคลแทบทั้งสิ้น พันธุ์ใดที่มีลักษณะดี ดอกใหญ่ สีสวยแปลกตา ดอกบานทน ก็จะได้รับความนิยมในหมู่ผู้ปลูกเลี้ยง วิธีการผสมพันธุ์โป๊ยเชียนมีขั้นตอนดังนี้ 1 เลือกต้นที่มีกิ่งแขนงไม่แก่หรืออ่อนเกินไป โดยสังเกตุที่สีของกิ่งต้องมีสีเข้มคล้ำแต่ก็ไม่ดำ เพราะถ้ากิ่งแก่มากจะออกรากยาก ถ้ากิ่งอ่อนมากจะเน่าได้ง่าย งดใส่ปุ๋ยและงดการให้น้ำอย่างน้อย 5-7 วัน 2 ใช้มีดที่คมและสะอาดตัดกิ่งที่เลือกไว้ยาวประมาณ 4-5 นิ้ว ถ้าเป็นกิ่งแขนงที่มีความยาว 4-5 นิ้ว อยู่แล้ว ให้ตัดให้ชิดกับลำต้น จะช่วยให้กิ่งชำเน่ายากขึ้น เด็ดใบที่โคนกิ่งชำออกให้เหลือใบที่ยอดประมาณ 5-6 ใบ แล้วล้างยางที่บริเวณรอยตัดและรอยเด็ดใบด้วยน้ำสะอาด 3 ใช้ปูนแดงหรือยาป้องกันเชื้อราทาตรงบริเวณรอยตัดของต้นแม่ เพื่อป้องกันเชื้อราเข้าแผลเมื่อเตรียมกิ่งชำเรียบร้อยแล้ว การปักชำสามารถทำได้ 2 วิธี คือ การปักชำดินและการปักชำน้ำ 3.1 การปักชำดิน นำกิ่งชำที่เตรียมไว้จุ่มในน้ำยาเร่งราก เช่น เซราดิกซ เบอร์ 1, รู๊ธโกร ฮอร์โมน หรือ เอ็กซ์โซติก แล้วทิ้งไว้ 3-4 ชม. เพื่อให้แผลแห้ง จากนั้นนำไปปักชำในวัสดุปักชำที่มีส่วนผสมของขี้เถ้าแกลบกับทรายหรือขุยมะพร้าวในอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง ปักชำให้กิ่งชำลึกประมาณ 1-2 นิ้ว กดดินโดยรอบให้แน่น รดน้ำผสมยาป้องกันเชื้อราและวิตามิน B1 ให้ชุ่ม หลังจากปักชำแล้วประมาณ 5-6 สัปดาห์ ก็จะงอกรากและแตกใบอ่อน เมื่อแข็งแรงดีแล้วจึงย้ายลงปลูกในกระถางใหม่ต่อไป 1.2 การปักชำน้ำ เก็บกิ่งชำไว้ในที่ๆ ไม่มีลมพัดผ่านหรือในภาชนะที่สะอาด ประมาณ 24-30 ชม. จากนั้นนำไปชำในขวดที่สะอาด (ส่วนมากนิยมใช้ขวดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เช่น ขวดลิโพ) โดยใส่น้ำให้ต่ำกว่าปากขวดแล้วหยดน้ำยาเร่งราก เอ็กซ์โซติก ลงไป 2-3 หยด แช่โคนกิ่งชำลงไปในน้ำประมาณ 1-2 เซนติเมตร จากนั้นนำไปตั้งไว้ในที่แสงรำไรประมาณ 2-3 สัปดาห์ รากก็จะเริ่มงอกออกมา เมื่อรากยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร จึงย้ายลงปลูกในกระถางต่อไป
การตอนกิ่ง ใช้เมื่อต้นพันธุ์ดีมีความสูงเกินไปและทิ้งใบทำให้ดูเก้งก้างไม่สวยงาม การตอนจะช่วยให้ได้ต้นใหม่ที่มีขนาดเตี้ยลงแต่มีความแข็งแรงและเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วสามารถตั้งทำดอกประกวดได้เร็วขั้นตอนการตอนกิ่งมีดังนี้ 1. เลือกต้นพันธุ์ดีที่จะทำการตอน ใช้มีดที่คมและสะอาดเฉือนลำต้นเข้าไปประมาณเกือบครึ่งลำต้นใช้กระดาษชำระเช็ดยางออกให้หมด 2. ใช้ไม้จิ้มฟันมาเสียบเข้าไปในแผลให้อ้าออก ทายาเร่งรากเข้าไปในแผลให้ทั่ว 3. นำตุ้มขุยมะพร้าวที่รดด้วยยาป้องกันเชื้อราและวิตามิน B1 มาผ่ากลางแล้วหุ้มลำต้นตรงรอยผ่า มัดหัวท้ายตุ้มเข้ากับลำต้นให้แน่น จากนั้นหาไม้หลักมาปักผูกลำต้นไว้กัน ไม่ให้โยกคลอน 4.รากของกิ่งตอนจะออกเต็มตุ้มขุยมะพร้าวภายใน 30-60 วัน จากนั้นจึงตัดกิ่งตอนออกจากต้นเดิมทารอยตัดด้วยปูนแดงหรือยาป้องกันเชื้อราทั้งส่วนที่เป็นต้นตอและกิ่งตอน 5. เมื่อแผลที่กิ่งตอนแห้งดีแล้วจึงนำไปปลูกลงดินต่อไป
การเสียบกิ่ง เป็นการนำกิ่งพันธุ์ที่ดีราคาแพงมาเสียบกับต้นตอที่ราคาถูกและแข็งแรง ซึ่งพันธุ์ที่นิยมใช้เป็นต้นตอคือพันธุ์แดงอุดม วิธีนี้เป็นวิธีที่ผู้ปลูกเลี้ยงโป๊ยเซียนนิยมกันมาก ทั้งนี้เพราะต้นใหม่ที่ได้จะแข็งแรงและมีโอกาสรอดสูง อีกทั้งยังใช้เวลาสั้นกว่าการขยายพันธุ์แบบอื่น ขั้นตอนที่สำคัญมีดังนี้ 1. การเตรียมต้นตอ ต้นตอที่นิยมใช้เป็นโป๊ยเซียนพันธุ์แดงอุดม เนื่องจาก มีลำต้นแข็งแรง หาอาหารเก่งทนทานต่อโรคและสภาพแวดล้อมได้ดีวิธีการเตรียมต้นตอมีดังนี้ 1.1 ต้นตอที่ใช้ควรเป็นต้นตอที่มียอดพุ่งหรือที่ยอดมีใบใหม่แตกออกมา แสดงว่าต้นตอแข็งแรงและมีระบบรากเติบโตเต็มที่ และควรเลือกต้นตอที่มีขนาดเท่ากับหรือใหญ่กว่ากิ่งพันธุ์ที่จะนำมาเสียบงดให้น้ำและงดให้ปุ๋ยต้นตอประมาณ 2-3 วัน หรือจนดินแห้ง 1.2 ใช้มีดที่คมและสะอาด ตัดยอดต้นตอให้สูงจากดิน 3-5 ซม. ซับยางที่ต้นตอออกด้วยกระดาษชำระหรือผ้าที่สะอาด จากนั้นใช้มีดผ่าต้นตอเป็น รูปปากฉลาม หรือ รูปตัว V ลึกประมาณ1-2ซม.ส่วนยอดของต้นตอที่ตัดออกสามารถนำไปปักชำเพื่อทำเป็นต้นตอได้ต่อไป 2.การเตรียมกิ่งพันธุ์กิ่งพันธุ์ที่จะนำมาเสียบกับต้นตอควรเป็นกิ่งพันธุ์ดีที่มีราคาแพง วิธีการเตรียมกิ่งพันธุ์มีดังนี้ 2.1 กิ่งพันธุ์ต้องไม่แก่หรืออ่อนเกินไป งดให้น้ำและงดให้ปุ๋ยต้นตอประมาณ 3-5 วัน 2.2 ใช้มีดที่คมและสะอาด ตัดยอดกิ่งพันธุ์ยาว 3-5 ซม ซับยางออกด้วยกระดาษชำระหรือผ้าที่สะอาด ถ้ากิ่งพันธุ์มีใบมากให้ตัดใบออกบ้างเพื่อลดการคายน้ำ จากนั้นปาดโคนกิ่งเป็นรูปลิ่มหรือรูปตัวVให้มีความยาวพอกับปากฉลามของต้นตอที่เตรียมไว้ 3.การเสียบกิ่งเป็นขั้นตอนการนำกิ่งพันธุ์มาเสียบกับต้นตอที่เตรียมไว้ขั้นตอนในการเสียบกิ่งมีดังนี้ 3.1ใช้เชือกฟางฉีกเป็นเส้นเล็กๆยาว 12-20 นิ้ว มัดต้นตอใต้รอยบากให้เชือกเงื่อนอยู่ตรงข้ามกับด้านที่มีหนามแหลมสองหนามเพื่อใช้ในการรั้งเชือกที่โยงยึดกิ่งพันธุ์ดี 3.2 นำกิ่งพันธุ์ดีมาเสียบกับต้นตอ ถ้ากิ่งพันธุ์มีขนาดเล็กกว่าต้นตอ ควรเสียบชิดไปด้านใดด้านหนึ่ง จากนั้นนำปลายเชือกทั้งสองเส้นโยงขึ้นรั้งกับหนามหรือใบของกิ่งพันธุ์ดี แล้วโยงข้ามมารั้งกับหนามทั้งสองของต้นตอ ดึงเชือกทั้งสองให้กิ่งพันธุ์แนบสนิทกับต้นตอพร้อมทั้งไขว้เชือกทั้งสองกลับมาพันบริเวณรอยต่อระหว่างต้นตอกับกิ่งพันธุ์หลายๆ รอบ จากนั้นจึงมัดปลายเชือกทั้งสองเข้าด้วยกันจนแน่น 3.3 นำต้นที่ทำการเสียบกิ่งเรียบร้อยแล้วใส่ในถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่นวางไว้ในที่มีแดดรำไร ประมาณ 7 วันจึงนำออกจากถุงพลาสติก ควรทำในเวลากลางคืนเพื่อให้ต้นโป๊ยเซียนปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมภายนอกได้ 3.4 หลังจากนั้นควรรดน้ำให้เล็กน้อยโดยระวังอย่าให้น้ำถูกรอยแผล จนกว่ารอยแผลจะเชื่อมดีแล้วจึงให้น้ำได้ตามปกติ
การเพาะเมล็ด ส่วนใหญ่จะทำการเพาะเมล็ดเมื่อมีการผสมพันธุ์โป๊ยเซียนจากเกษตรตัวผู้และตัวเมียที่ต่างสายพันธุ์กัน จุดประสงค์เพื่อให้ได้โป๊ยเซียนพันธุ์ใหม่ที่เรียกกันว่า "ลูกไม้" ที่มีลักษณะของ ลำต้น ดอก หนาม ใบ และอื่นๆ ที่ดีกว่าเดิม เมล็ดที่ได้จากการผสมพันธุ์มีวิธีการเพาะดังนี้ 1. เตรียมภาชนะที่ใช้ในการเพาะเมล็ดอาจใช้กระถางหรือกระบะพลาสติกก็ได้แต่ควรเป็นภาชนะที่ระบายน้ำได้ดี ไม่มีน้ำขัง นำวัสดุเพาะที่มีส่วนผสมระหว่าง ขุยมะพร้าว กับ ทรายในอัตราส่วนเท่าๆกันเทลงในภาชนะแล้วเกลี่ยให้เรียบพร้อมกับกดให้แน่นพอประมาณ 2. นำเมล็ดที่ได้จากการผสมพันธุ์ โดยใช้เมล็ดแก่สังเกตุจากเมล็ดที่เป็นสีน้ำตาลมาวางไว้บนวัสดุเพาะแล้วกลบด้วยวัสดุเพาะหนาประมาณ1ซม.รดด้วยน้ำที่ผสมยาป้องกันเชื้อรา 3. นำภาชนะเพาะไปตั้งบริเวณที่มีแสงรำไรอากาศถ่ายเทได้สะดวก รดน้ำวันละครั้งแต่อย่าให้แฉะ ประมาณ 1-2 สัปดาห์จะมีต้นกล้างอกเจริญเติบโตขึ้นมา เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตจนมีใบประมาณ 5-7 ใบ จึงทำการย้ายลงปลูกในกระถางใหม่ต่อไป
การผสมพันธุ์ เป็นการขยายพันธุ์อีกวิธีหนึ่งที่ผู้ผสมมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดโป๊ยเซียนพันธุ์ใหม่ๆ ที่ดีขึ้น โป๊ยเซียนต้นใหม่ที่ได้จากการผสมพันธุ์จะมีลักษณะแตกต่างไปจากต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ ซึ่งอาจจะดีกว่าหรือด้อยกว่าก็ได้ ในปัจจุบันผู้ปลูกเลี้ยงโป๊ยเซียนได้ผสมพันธุ์โป๊ยเซียนขึ้นมาใหม่มากมาย ได้มีการจดทะเบียนตั้งชื่อแตกต่างกัน ชื่อแต่ละชื่อจะมีลักษณะไปในทางที่เป็นศิริมงคลแทบทั้งสิ้น พันธุ์ใดที่มีลักษณะดี ดอกใหญ่ สีสวยแปลกตา ดอกบานทน ก็จะได้รับความนิยมในหมู่ผู้ปลูกเลี้ยงวิธีการผสมพันธุ์โป๊ยเชียนมีขั้นตอนดังนี้ 1. เลือกต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มีลำต้นอวบใหญ่ แข็งแรง ใบใหญ่หนาสีเขียวใส หนามใหญ่ ดอกใหญ่สีสวย จำนวนดอกมากกว่า 8 ดอก ต้นแม่พันธุ์ควรเป็นต้นที่ติดเมล็ดง่าย และต้นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไม่ควรมาจากสายพันธุ์เดียวกันเพราะจะทำให้ต้นลูกที่ได้มีลักษณะด้อยไปกว่าเดิม การเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ลักษณะดีและสายพันธุ์ถูกต้องจะทำให้ลูกไม้ที่ได้จากการผสมมีโอกาสเป็นโป๊ยเซียนพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะดีกว่าเดิม 2. การผสมพันธุ์โป๊ยเซียนสามารถทำได้ทุกฤดู แต่ฤดูที่เหมาะสมควรเป็นฤดูหนาว ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่โป๊ยเซียนมีความอุดมสมบูรณ์ ออกดอกมาก เมล็ดที่ได้มีขนาดใหญ่เมื่อนำไปเพาะจะได้ลูกไม้ที่แข็งแรงสมบูรณ์ 3. สังเกตุความพร้อมของเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย ดอกโป๊ยเซียนเป็นดอกสมบูรณ์เพศมีเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน เกสรตัวเมียอยู่ตรงกลางดอกและบานก่อนเกสรตัวผู้ประมาณ 2-3 วัน การสังเกตุเกสรตัวเมียว่าพร้อมที่จะผสมพันธุ์หรือไม่ให้สังเกตุที่เกสรตัวเมียจะมีน้ำเหนียวเยิ้มออกมา หลังจากเกสรตัวเมียบาน 2-3 วัน จะมีก้านชูเกสรตัวผู้ขึ้นมาบริเวณกลางดอกประมาณ 5-7 อัน ละอองเกสรตัวผู้ที่พร้อมจะผสมพันธุ์จะมีลักษณะเป็นคุยๆ สีเหลือง 4. การถ่ายละอองเกสรควรทำในช่วงเช้า 7.00-9.00 น. เพราะเป็นช่วงที่ดอกโป๊ยเซียนสดชื่นและมีความพร้อมที่จะผสมพันธุ์ การถ่ายละอองเกสรทำได้โดยใช้พู่กันขนาดเล็กแตะยอดเกสรตัวผู้ของต้นพ่อพันธุ์แล้วนำไปแตะกับเกสรตัวเมียที่พร้อมผสมพันธุ์ของต้นแม่พันธุ์ การผสมควรทำซ้ำ 2-3 ครั้ง จากนั้นคลุมด้วยถุงพลาสติกเจาะรูระบายอากาศเพื่อป้องกันแมลงมาผสมซ้ำ บันทึกชื่อพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ วันและเวลาที่ผสมผูกติดกับถุงพลาสติก หลังจากผสมเกสรเสร็จแล้วประมาณ 7 วัน กลีบดอกจะเริ่มเหี่ยว เมล็ดจะเริ่มขยายตัวเป็นพูจำนวน 3 พู ชูสูงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นเมล็ดจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคล้ายเมล็ดพริกไทย การเก็บเมล็ดควรเก็บเมล็ดที่แก่เต็มที่ มีลักษณะแห้ง สีน้ำตาลคล้ำ การเก็บควรเก็บในช่วงเช้าเพราะช่วงบ่ายเปลือกที่หุ้มเมล็ดจะแห้งและอาจดีดเมล็ดให้กระเด็นออกมาได้ การใช้ถุงพลาสติกใบเล็กๆ คลุมที่ดอกที่ผสมติดจะช่วยให้เมล็ดแก่ที่ถูกดีดออกมาตกอยู่ภายในถุงไม่หายไปไหน นำเมล็ดโป๊ยเซียนที่ได้ไปทำการเพาะเมล็ดต่อไป

ประทัดจีน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Russella equisetiformis Schltr..
ตระกูล Scrophulariaceae
ชื่อสามัญ Coral Plant ,Fountain Plantt
ถิ่นกำเนิด เม็กซิโก
ลักษณะทั่วไป
ประทัดจีนเป็นไม้พุ่มเตี้ย หรือพุ่มขนาดเล็กสูง 1 - 2 เมตร พุ่มกว้างเพียงรัศมีครึ่งเมตร เป็นไม้พุ่มโปร่ง ผิวสัมผัสละเอียด ลำต้นสีน้ำตาลเทา ดอกสีแดง สีส้ม สีชมพู เป็นหลอดยาวเล็กๆปลายกลีบดอกสั้นๆสี่กลีบไม่มีกลิ่นหอมดอกประทัดจีนมีเสน่ห์ตั้งแต่เมื่อเริ่มเป็นช่อดอกช่อยาวดอกจะออกเป็นตุ่มตามก้านเมื่อดอกค่อยๆยาวขึ้นมาเป็นสีแดงสีชมพู เมื่อค่อยๆ โตเกิดสี สันตามก้านดอกแต่นั้นมาฉะนั้นช่อดอกจึงให้ความงามกับลำต้นยาวนานหลายสัปดาห์ เมื่อดอกคลี่กลีบบานกลีบเล็กๆ5แฉกจะอยู่ได้ทนนาน5-6วันฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดทั้งปี แต่จะออกดอกดกและหนาแน่นในเดือน พฤษจิกายน ถึงเดือนมีนาคมในปีถัดไปสภาพการปลูก ประทัดจีน เป็นไม้กลางแจ้งและแสงรำไร ชอบแสงแดดจัดๆ ปลูกได้ในดินทั่วไปทุกชนิดน้ำปานกลางโรคเพลี้ยโรคแมลงไม่มีปลูกริมทะเลก็ยอมได้ทนลมทนแดดทนแล้งได้ดีการขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการปักชำหรือแยกหน่อที่โคนต้นการปลูกและดูแลรักษา ความถี่ในการปลูกเป็นพุ่มหรือเป็นแปลงขนาดแบบถี่มากประมาณ 10 ต้นต่อตารางเมตรแบบพุ่มห่างสักหน่อยหรือพุ่มโปรงประมาณ6ต้นต่อตารางเมตรปลูกเป็นแถววางสลับห่าง 30 เวนติเมตรต่อต้นใจเย็นเข้าไว้เพราะประทัดจีนเป็นไม้โตไวไม่ช้าก็จะขยายเต็มตัวเต็มแปลงเองเลี้ยงดูง่าย


พุดน้ำบุษย์

ชื่อวิทยาศาสตร์ Gardenia sp.
ตระกูล Rubiaceae
ชื่อสามัญ -
ถิ่นกำเนิด ประเทศแถบเอเชีย
ลักษณะทั่วไป
พุดน้ำบุษย์ เป็นไม้พุ่มต้นเล็กหรือพุ่มเตี้ยสูงประมาณ 2 - 3 เมตร แตกกิ่งต่ำ ตามข้อของลำต้น ลักษณะใบสวยงามเพราะใบมัน หน้าใบสีเขียวเข็ม หลังใบสีเขียวอ่อน เส้นกลางใบสีเทา เป็นลายเห็นเด่นชัดสวยงาม เรียงใบเป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบรูปรี กว้าง 5 เชนติเมตร ยาว 11 เซนติเมตร ลำต้นแก่สีน้ำตาล กิ่งอ่อนเป็นสีเขียวดอกเดี่ยวบริเวณซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกสีเหลือง โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดสีเหลือง ความยาวของกลีบของกลีบดอก 2 เซนติเมตร มี 7 กลีบ คลายรูปช้อน ชูดอกอยู่บนก้าน ดอกบานนาน 7 วันเมื่อแรกแย้มบานมักเป็นสีออกขาวนวลส่งกลิ่นหอมมาก หอมไกล 2 - 3 เมตร เมื่อบานเข้าวันที่สองสีจะเริ่มออกเหลืองอ่อน ต่อมาค่อยๆ เหลืองเข้มจนกระทั้งเข้มจัด
ฤดูกาลออกดอก
ออกดอกตลอดทั้งปี กลิ่นหอมตลอดวัน
สภาพการปลูก
เติบโตได้ดีในดินร่วน ระบายน้ำได้ดี แสงแดดจัด ชอบความชื้นแต่ถ้าไม่สามารถหาแดดเต็มวันให้ได้ เเดดครึ่งวัน แดดช่วงเช้าหรือเย็นก็ได้
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการ ปักชำและตอนกิ่ง กิ่งยาว 15 - 20 เซนติเมตร จุ่มกิ่งในฮอร์โมนเร่งราก จะออกราก ภายใน 3 สัปดาห์ เลือกตอนจากกิ่งที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเทา
การดูแลรักษา
พุดน้ำบุษย์ปลูกได้ 2รูปแบบ คือ ปลูกลงดินกลางแจ้งยกแปลงสูง หรือปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ตั้งไว้ในที่มีแสงแดดส่องถึง หลังปลูกบำรุงดินด้วยปุ๋ยมูลสัตว์ประเภทขี้วัวขี้ควายแห้งโรยกลบฝังดินรอบโคนต้นหรือรอบขอบกระถางปลูก 15 วันครั้ง รดน้ำให้พอชุ่มทั้งเช้าและเย็น


พุดพิชญา

ชื่อวิทยาศาสตร์ -
ตระกูล -
ชื่อสามัญ -
ถิ่นกำเนิด ศรีลังกา
ลักษณะทั่วไป
ต้นพุดพิชญา เป็นต้นไม้ใหม่นำเข้าจากประเทศศรีลังกา มีชื่อทองถิ่นว่า "อิดด้า" (Inda) มีความหมายว่าดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ประเทศศรีลังกาเป็นเมืองพุทธศาสนา สีขาวเป็นสีที่สัมพันธ์กับศาสนาพุทธ จึงเป็นดอกไม้บูชาพระพุทธรูป โดยเฉพาะสักการะพระเขี้ยวแก้ว โดยจัดดอกไม้ใส่กรวยใบตองหรือจัดใส่พาน ต้นพุดพิชญาเข้าประเทศไทยครั้งแรกเมื่อสิบปีมาแล้ว ผู้นำเข้าคือ คุณปราณี คงพิชญานนท์ เธอชอบความงามบริสุทธิ์ ความที่ลักษณะของดอกสีขาวเหมือนกลุ่มดอกพุดในบ้านเรา เธอจึงนำชื่อดอกพุดมาสมาสเข้ากับวลีนามสกุล ออกมาเป็นชื่อใหม่ว่า "พุดพิชญา"พุดพิชญาเป็นไม้ชนิดทั้งต้นเตี้ย ต้นสูง และต้นใหญ่ ให้ดอกเต็มกิ่งเป็นช่อดอก ช่อละ 5 - 10 ดอก ดอกบานทนตั้งแต่แรกแย้มไปจนสู่บานเต็มที่ ใช้เวลา 4 - 5 วัน ดอกตูมในช่อดอกอื่นๆก็ค่อยทยอยโต และทยอยกันบานไปเรื่อยๆ จึงทำให้ดอกติดต้นตลอดเวลา ลักษณะดอกเป็นกลีบแยก 5 กลีบ เกสรตรงกลางสีเหลืองมีฝอยเกสรสีขาวล้อมรอบ เมื่อดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ก้านดอกยาวประมาณ 1 นิ้วสีขาวกระจ่างของดอกพุดพิชญาคือเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร สีขาวที่ไม่เจือปน จึงดูขาวโดดเด่น ในยามค่ำคืนสีดอกพุดพิชญาดูเหมือนจะเรืองแสง จึงเห็นกระจ่างในความมืด ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของดอกไม้นี้ ใบรูปไข่ หน้าใบ สีเขียวเข็ม หลังใบสีเขียวอ่อน ใบไม่ร่วงหรือเรียกว่าไม่ผลัดใบ
ฤดูกาลออกดอก
ออกดอกตลอดทั้งปี
สภาพการปลูก
เติบโตได้ดีในดินร่วนซุยและชอบดินที่ระบายน้ำได้ดี ชอบเเดดจัดแต่ก็สามารถนำไปปลูกในที่แดดรำไรหรือแดดครึ่งวันได้ ไม่ชอบน้ำท่วมขัง แฉะไม่ได้เลย ต้นจะเนาและตาย
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการ ตอนกิ่ง และการปักชำ
การดูแลรักษา
ปลูกเป็นไม้กระถางก็ได้หรีอปลูกลงดินก็ได้ เลี้ยงง่าย ปรับตัวได้ในเกือบทุกสิ่งแวดล้อม ถ้าตอ้งการเร่งใบใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยใบจามจุรีหมัก เพราะมีไนโตรเจนสูง ถ้าต้องการเร่งและบำรุงดอกใช้ปุ๋ยขี้ไก่ เพราะมีฟอสฟอรัสสูง



ไม้ถักประดับ

ชื่อวิทยาศาสตร์ -
ตระกูล - ชื่อสามัญ -
ถิ่นกำเนิด -
วิธีการทำไม้ถักประดับ
สิ่งที่น่าภูมิใจของคนไทยโดยเฉพาะชาวสวนที่เป็นเกษตรกร ปลูกต้นไม้ดอกไม้ประดับที่ได้นำเอาศิลปะมาประยุกต์ ประดิษฐ์ ประดอยให้เกิดความสวยงาม ซึ่งเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านของชาวเกษตรกรอย่างแท้จริง จากเป็นไม้ประดับธรรมดานี้เอง ที่วางจำหน่ายขายตามร้านขายของชำประเภทไม้ดอกไม้ประดับทั่วไปดูแล้วมันก็เป็นไม้ธรรมดาที่เห็นอยู่โดยทั่วไปนั้นเอง แต่เมื่อนำเอาจินตนาการ ในทางศิลปะ มาดัดแปลงต้น ไม้ดอกไม้ประดับ แปรรูปด้วยการประยุกต์ไขว้ กันไปมาแล้วตกแต่งกิ่งและใบเสียก็จะได้ไม้ถักที่มีความสวยงามแปลกตาแฝงด้วยความสวยและน่ารักต้นไม้ที่นำมาถักนั้นมีหลายชนิด เช่น ต้นโกศลทุกชนิด,ต้นขาไก่, ต้นไทรทุกชนิด, ต้นชบา,ต้นรำเพย,ต้นพุทธจีบ ขั้นตอนและการเตรียม ขั้นตอนที่1การเตรียมวัสดุ จัดหาประเภทไม้ดอกไม้ประดับที่ตามที่ต้องการที่มีความสูงประมาณ 1ฟุตขึ้นไป ให้ทำการตกแต่งกิ่งที่เราไม่ต้องการออกไปเลือกที่เฉพาะต้นที่มีความตรงมากที่สุด ขั้นตอนที่2เตรียมอุปกรณ์ - กระถางดิน-พลาสติกตามขนาดที่ต้องการ - กรรไกร,เชือกฟาง,ปุ๋ยหมัก - เก้าอี้สำหรับวางกระถางถ้าเป็นเก้าอี้หมุนได้จะเหมาะสมดีและสะดวกในการทำ - เก้าอี้สำหรับนั่งตัวเล็ก - น้ำ
ขั้นตอนที่ 3 วิธีทำ -นำกระถางมาวางไว้บนเก้าอี้ที่เตรียมไว้ -เอาปุ๋ยหมักมาเทใส่ลงไปในกระถาง -นำต้นไม้มาริกิ่งใบออก ให้เหลือส่วนปลาย -นำเอาถุงพลาสติกออก พร้อมทั้งเขย่าดินออกบ้างเพื่อสะดวกในการใส่กระถาง -นำมามัดรวมกัน โดยประมาณ 3 - 4 หรือ 5ต้น ขึ้นอยู่กับขนาดของต้นไม้ - ได้จำนวน 12 มัด -จากนั้นก็ฝังรากและโคลนลงในกระถาง ลักษณะเรียงเป็นแถวเดี่ยวกัน จำนวน 12 ต้น เป็นวงกลมรอบกระถาง
ขั้นตอนที่ 4 วิธีการถัก -ให้ใช้มือรวบต้นไม้ที่เรียงไว้แล้ว แยกออกจากกันเป็นสองส่วนแล้วจับไขว้ไว้ก่อนจึงใช้เชือกฟางมัดตรงบริเวณไขว้กัน เพื่อใช้เชือกรัดส่วนที่ไขว้ ไว้ไม่ให้หลุด จากนั้นก็ไขว้ขั้นมาเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นให้มีเชือกรัดไว้เช่นเดิม จนกว่าจะถึงยอด ชั้นสุดท้ายให้มัดตายตัวไปเลย เพื่อจะได้มีรูปทรงเหมือน เดิม จากนั้นให้แก้เชือกที่อยู่ชั้นล่างออก ก็จะได้ต้นไม้ถักประดับครับ
การดูแลรักษา
รดน้ำสำหรับไม้ถักประดับ ตามปกติแล้วต้นไม้จะมีอยู่ในกระถางเพียงหนึ่งหรือสองต้น แต่เมื่อนำมาถักรวมกันแล้ว ในกระถางจะมีต้นไม้ถึง 20 ต้น หรือ 36 ต้น ก็มี ฉะนั้น การรดน้ำควรที่จะรดน้ำให้กับต้นไม้ในกระถางชุ่มและโชกเป็นพิเศษอาจจะ 1 - 2 วันต่อครั้ง ถ้าเป็นฤดูฝนไม่ควรที่จะรดน้ำให้บ่อย มากนัก ถ้าเป็นหน้าร้อนควรจะเพิ่มการรดน้ำให้บ่อยขึ้นเพราะต้นไม้ต้องการความชุ่มชื้นมากขึ้น สาตุเพราะเวลากลางคืน ความร้อนจะดูดซึมซับเอาความเย็นในกระถางระเหยไป สำหรับปุ๋ยที่ใช้จะเป็นปุ๋ยชีวภาพ ที่มีกากน้ำตาลชนิดแกลลอน 1 ลิตร ปลาสดๆที่เหลือจากขายตามท้องตลาดนำมาหมักเอาเนื้อที่ยุ่ย และวัชพืชจำพวกผักตบชวา หรือพืชใบผักชนิดต่างๆ ทุกชนิดหอยเชอร์รี่ หรือจะใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ 16 - 16 - 16



บลูฮาวาย

ชื่อวิทยาศาสตร์ Otacanthus coeruleus
ตระกูล Scrophulariacea
ชื่อสามัญ Blue Hawaii
ถิ่นกำเนิด บลาซิล
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ดอกอายุหลายปี ต้นโดด พุ่มสูง 30 - 90 เซนติเมตร กิ่งใบโปร่ง ลำต้นสีม่วงแดง ใบมีลักษณะ รูปรีแกมใบหอกแผนใบสีเขียวเข้มเป็นมันรูปใบหอก ยาว 5 - 8 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม ออกดอกเป็นกลุ่ม สีม่วงสดใสอมน้ำเงินกลางดอกสีขาว ขนาด 3 - 4 เซนติเมตร โคนกลีบเชื่อมติดเป็นหลอดปลายกลีบรูปกลม 2 กลีบ ดอกบานนาน 4 - 5 วัน จึงจะเริ่มเหี่ยวและโรยรา ช่วงการออกดอกหมุนเวียนตลอดปีมีอายุ4-5ปีฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดปีสภาพการปลูก บลูฮาวาย เป็นพรรณไม้ชอบ แดดจัดหรือแดดเต็มวัน ชอบดินร่วนซุย นิยมปลูกเป็นแปลงยาวหรืแปลงที่โอบล้อมรูปปั้นใหญ่ๆหรือรอบศาลาการขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและการปักชำการดูแลรักษา เนื่องบลูฮาวายชอบดินร่วนซุย ควรให้น้ำแต่พอดี แฉะเกินไปก็ไม่ชอบ เพราะจะทำให้แทงกิ่งออกแต่ใบ น้ำน้อยเกินไปก็ไม่ดี ใบจะเหลืองแห้ง ดั้งนั้นจึงรดน้ำแต่พอดี อันนี้ผู้ปลูกต้องหมั่นสังเกตสักนิดจากการเปลี่ยนแปลงของบลูฮาวาย ถ้ารดน้ำได้ชื้นพอดี ยอดกิ่งจะแทงช่อออกดอก


มอร์นิ่งกลอรี่

ชื่อวิทยาศาสตร์ Ipomoea Rorsfalliae. (L.) Roth.
ตระกูล CONVOLVULACEAE
ชื่อสามัญ Deep rose. morning glory.
ลักษณะทั่วไป
ต้น เป็นไม้เถาเลื้อยฤดูเดียว เถามีขนาดเล็ก ตามเถามีขนขึ้นปกคลุมจนทั่ว โดยเฉพาะ บริเวณปลายยอด ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบทั้ง 2 ข้าง หรือใบเป็นรูปหัวใจ ดอก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรืออาจจะออกเป็นกลุ่ม ๆ หนึ่ง ๆ จะมีประมาณ 5 ดอก รูปทรง ของดอกจะคล้ายกับแตร หรือคล้ายดอกผักบุ้ง มีขนาดเล็กและมีความยาวประมาณ 3 นิ้ว ดอกมีสีต่าง ๆ กัน เช่น สีม่วงอมน้ำเงิน หรือ สีม่วงปนขาว สีขาว สีแดง สีฟ้า สีชมพูฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดปีสภาพการปลูก มอร์นิ่งกลอรี่เหมาะที่ปลูกริมรั้ว หรือปลูกเป็นซุ้มประตู เพื่อให้เถาได้เลื้อยพาดไปตามริมรั้ว หรือตามซุ้มประตูได้ การปลูกให้นำกิ่งที่ได้จากการปักชำหรือต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ด มาปลูกลงดิน โดยขุดหลุมปลูกให้มีความกว้างลึกประมาณ 1x1 ฟุต รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ประมาณ 1/4 ของหลุม กลบดินเล็กน้อย แล้ววางต้นกล้าลงกลางหลุม กลบดินพอแน่น แล้วรดน้ำให้ชุ่มการขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การตอน และการปักชำกิ่ง การปลูกและดูแลรักษา แสง มอร์นิ่งกลอรี่เป็นไม้กลางแจ้ง ต้องการแสงมากพอสมควร น้ำ ควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง ในระยะแรกปลูก แต่เมื่อต้นโตและแข็งแรงดีแล้ว ให้รดน้ำวันละ1ครั้งเฉพาะในช่วงเช้าก็พอ ดิน เจริญงอกงามได้ดีในดินที่ร่วนซุย หรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักใส่บริเวณโคนต้นปีละ 2-3 ครั้ง โดยการพรวนดินรอบ ๆ โคนต้น ก่อน หากต้นไม้มีอาการใบร่วงหรือใบซีดเหลือง ให้รดด้วยยูเรีย สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ติด ต่อกันประมาณ1เดือน



รสสุดนธ์ขาว

ชื่อวิทยาศาสตร์ Tetracera loureiri Pierre.
ตระกูล Dilleniaceae
ชื่อสามัญ -
ถิ่นกำเนิด ไทย
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง โคนลำต้นใหญ่ได้ถึง 15 เซนติเมตร และเลื้อยได้ไกลถึง 8 เมตรกิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนแข็งสั้นๆสากคายมือ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปไข่กลับถึงขอบขนาน กว้าง 4-7 เซนติเมตรยาว 7-16 เซนติเมตร ปลายใบแหลมทู่ถึงกลมมน โคนใบแหลมถึงสอบแคบ ขอบใบจัก สีเขียวเข้ม เนื้อใบสาก เส้นกลางใบและเส้นใบด้านบนเป็นรอยลึก เส้นใบ 10-15 คู่ ก้านใบยาว 1-1.5 เซนติเมตร ช่อดอกสีขาวยาว 5-15 เซนติเมตร ออกที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปไข่ขนาดเล็กติดทนอยู่จนเป็นผล เมื่อดอกย่อยบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8 เซนติเมตร กลีบดอกร่วงงาย มีเกสรเพศผู้จำนวนมาก คลายเส้นด้ายสีขาว ดอกเริ่มบานและส่งกลิ่นหอมในช่วงพลบค่ำแจนถึงช่วงกลางวัน ดอกบานเกือบพร้อมกันทั้งช่อ และบานวันเดียวแล้วโรย ผลค่อนข้างกลม สีส้มถึงสีแดง มี 2-3 ผล อยู่รวมกันเป็นกระจุก เมล็ดรูปไข่ อยู่ในเยื่อรูปถ้วยสีแดงฤดูกาลออกดอก ออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์สภาพการปลูก รสสุคนธ์ขาวเป็นไม้กลางแจ้งแสงแดดจัดชอบดินที่ระบายน้ำได้ดีการขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดตอนกิ่งโดยกิ่งตอนจะออกรากภายใน6สัปดาห์การดูแลรักษา ปลูกเป็นไม้กระถางได้ดีใช้ไม้ปักให้เลื้อยไต่พันเมื่อต้นโตใหญ่เหมาะปลูกประดับซุ้มเลื้อยเกี่ยวรั้วหรือตอไม้ในที่โล่งตัดแต่งกิ่งหรือช่อดอกเก่าทิ้งมิให้รกเกินไป จะมองดูสวยงามแลเร่ง


รสสุดนธ์แดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Tetracera loureiri Pierre.
ตระกูล Dilleniaceae
ชื่อสามัญ -
ถิ่นกำเนิด อินเดีย
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง เลื้อยได้ไกลถึง 8 เมตร คล้ายรสสุคนธ์ขาวแต่มีกลีบเลี้ยงสีแดง ใบเป็นรูปรี รูปไข่กลับหรือขอบขนาน ขอบจักตื้น ผิวใบสาก สีเขียวอ่อน ดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือซอกใบใกล้ปลายกิ่ง 3 - 8 ดอกมี 3 - 5 กลีบ สีขาวหรือขาวอมชมพู ดอกบานเกือบพร้อมกันทั้งช่อ ดอกบานเพียงวันเดียวส่งกลิ่นหอมช่วงพลบค่ำจนถึงกลางวัน ฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดปีดอกดกช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์สภาพการปลูก รสสุคนธ์แดงชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดีเป็นไม้กลางแจ้งแสงแดดจัดการขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดตอนกิ่งการดูแลรักษา ปลูกเป็นไม้กระถางได้ดีใช้ไม้ปักให้เลื้อยไต่พันเมื่อต้นโตใหญ่เหมาะปลูกประดับซุ้มเลื้อยเกี่ยวรั้วหรือตอไม้ในที่โล่งตัดแต่งกิ่งหรือช่อดอกเก่าทิ้งมิให้รกเกินไป จะมองดูสวยงามและเร่งให้ออกดอกชุดใหม่ได้เร็วขึ้น


ลิปสติก

ชื่อวิทยาศาสตร์ Aeschynanthus radicans jack.
ตระกูล Gesneriaceae
ชื่อสามัญ Lipstick Vine
ถิ่นกำเนิด ประเทศมาเลเซีย
ลักษณะทั่วไป
ลิปสติก เป็นไม้ดอกอายุหลายปี ลำต้นสีแดงเลือดหมู ทอดเลื้อยได้ 1.50 -2.0 เมตร ใบรูปหอกแผ่นใบหนาอวบ สีเขียวเข้มรูปรีหรือรูปไข่ดอกออกเป็นช่อ กลีบเลี้ยงรูปหลอด สีแดงเลือดหมู ดอกสีแดงอมส้มสีเหลือง และสีชมพู รูปหลอดยาวปลายแยกเป็น 5 กลีบ ผลเป็นฝักยาว 30 - 60เซ็นติเมตรเมล็ดมีพู่ขนติดที่ปลายฤดูกาลออกดอก ออกดอกเกือบทั้งปีแต่ช่วงที่ให้ดอกดกเป็นพิเศษ จะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ สภาพการปลูก ลิปสติกเป็นไม้แสงแดดรำไรดินปลูกระบายน้ำได้ดีและเป็นไม้ที่ชอบความชุ่มชื้นการขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ดและการปักชำกิ่งการปลูกและดูแลรักษา ส่วนประกอบในการปลูกในกระถางแขวน มีพวกกาบมะพร้าว ซึ่งแช่น้ำสะอาด 1 คืน และใบไม้ผุจากนั้นใสปุ๋ยออสโมโค้สโรย สูตรเสมอ 54-14 เป็นปุ๋ยเม็ดชนิดละลายช้า เพื่อเพิ่มดอก รดน้ำวันละครั้งในช่วงเช้า โดยแขวนไว้ในที่รำไร จนกระทั้งลิปสติกออกดอก ส่วนโรคที่พบจะมีพวกเชื้อแป้งให้ฉีดด้วยสารเคมีพอตท์หรือว่าจะใช้สารสะเดาก็ได้


ลั่นทมจอหงวน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumeria Rubra Linn.
ตระกูล Apocynaceae
ชื่อสามัญ West Indian ,Nosegay
ถิ่นกำเนิด อเมริกาใต้
ลักษณะทั่วไป
ลั่นทมจอหงวน เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 3 - 6 เมตร ทุกส่วนมียางขาว ใบเดี่ยว ออกเวียนสลับถี่ๆที่ปลายกิ่ง ใบเป็นรูปใบหอก หรือหอกกลับ ปลายและโคนใบแหลม สีเขียวสด ดอกเป็นสามสีในดอกเดียวกันคือ เหลือง แดง และขาวมีกลิ่นหอมแรง โดยเฉพาะจะแรงมากในช่วงเช้า ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน ปลายกลีบแหลม หรือมีติ่งแหลม เมื่อดอกบานเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 ซม. มีเกสรตัวผู้ 5 อัน สั้นเวลามีดอกดกทั้งต้นและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงามแบบสามสี มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียง ผลเป็นฝักคู่ รูปยาวรี ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดแบน มีปีก
ฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดทั้งปี
การปลูกและดูแลรักษา
นิยมปลูกทั้งลงดินกลางแจ้ง ควรยกแปลงปลูกสูงเพราะเป็นไม้ไม่ชอบน้ำท่วมขัง และปลูกลงกระถางที่มีขนาดใหญ่มาก ต้องตั้งในที่มีแสงแดดส่องถึงทั้งวันดินปลูกควรเพิ่มทรายหยาบ แกลบดำ ลงไปอย่างละ 1 สวน คลุกให้เข้ากันจนดี หลังปลูกบำรุงปุ๋ยขี้ควายแห้ง รดน้ำพอชุ่มวันละครั้ง จะโตเร็วมีดอกสวยงาม
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ด และการปักชำกิ่ง
สภาพการปลูก
ลั่นทมจอหงวนเป็นไม้กลางแจ้ง ชอบดินร่วนปนทราย น้ำชุ่มกำลังพอดี แสงแดดแรงตลอดวัน ทนทานต่อความแห้งแล้งและแรงลม จึงปลูกได้ทุกสถานที่โดยเฉพาะที่โปร่งโล่ง


ลั่นทมแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumeria rubra L.
ตระกูล -
ชื่อสามัญ Frangipani,Nosegay
ถิ่นกำเนิด เม็กซิโกไปถึงปานามา
ลักษณะทั่วไป
ลั่นทมแดงเป็นไม้ขนาดเล็กสูง 3 - 6 เมตร พุ่มกว้างประมาณ 3- 6 เมตร แตกกิ่งก้านสาขากระจายออกรอบตัวมียางลำต้นสีขาวเหมือนน้ำนม ใบเดี่ยวสีเขียวหรือเขียวเข้ม เรียงสลับใบ จะเรียงถี่บริเวณยอดใบ ใบรูปไข่กลับแกมรูปหอก กว้าง 6 - 9 ซม. ยาว 10 - 12 ซม. โคนสอบ ปลายแหลม ลำต้นเกลี้ยงเกลาโชว์ความงามของกิ่งก้านสีน้ำตาลนวลแซมเขียว ดอกลีลาวดีแดง สีออกแดงบ้าง สีชมพูเข้มจนออกแดงบ้างเป้นกลีบดอกสีชมพูเรียงลำดับเข้มอ่อน ก้านดอกสีม่วงอมแดงกลางกรวยดอกออกสีเหลืองอมแดง ออกดอกตามซอกใบส่วนยอดเป็นช่อใหญ่อายุดอกในแต่ละช่อไม่เท่ากัน ดังนั้นเมื่อดอกบานจึงคงผลิตดอกได้เป็นเวลายาวนาน ผลัดกันบานไปเรื่อยๆดอกบานถึง 5 - 6 วัน โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายกลีบแยกเป็น 5 กลีบ ซ้อนกันนิดๆ ปลายเรียวแหลม ขนาดดอกเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 - 5 ซม. ออกดอกตลอดปี ดอกมีกลิ่นหอมรวยริน สีสันสดสวย
ฤดูกาลออกดอก : ออกดอกตลอดทั้งปี
สภาพการปลูก
ลั่นทมแดงเป็นไม้กลางแจ้ง ชอบดินร่วนปนทราย น้ำชุ่มกำลังพอดี แสงแดดแรงตลอดวัน ทนทานต่อความแห้งแล้งและแรงลม จึงปลูกได้ทุกสถานที่โดยเฉพาะที่โปร่งโล่ง หรือตามชายทะเล
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด การตอนกิ่ง การปักชำกิ่ง
การดูแลรักษา
การดูแลลั่นทมแดงเมื่อต้นแข็งแรงแล้วให้หมั่นตัดแต่งกิ่งซึ่งมักจะแผ่กว้างจนเกินไปทำให้ไม่สวยและทานแรงลมไม่ไหวมีโอกาสหักโค่นล้มได้โดยเฉพาะต้นที่เพาะชำกิ่งตอนหรือถูกล้อมเป็นต้นใหญ่มาแล้วแรงยึดดินจึงไม่ทนทานเท่าที่ควร การให้น้ำ ถ้าลั่นทมนั้นเป็นต้นล้อมมา หมั่นให้น้ำสักนิดเพราะรากที่ล้อมมาหาอาหารไม่เก่งดังนั้นจึงไม่สามารถดูดน้ำให้เพียงพอได้ในทีเดียว น้ำขาดใบก็ร่วง ดอกติดยอดได้ไม่นาน การดูแล ให้ปุ๋ยคอก พรวนดิน ให้น้ำอย่างเพียงพอ อยู่ในสภาพดินที่ละบายน้ำได้ดี ในปลายฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม ต้นลั่นทมจะทยอยให้ดอกค่อนข้างดก อยู่ยาวนานเป็นหลายเดือนจนสิ้นสุดฤดู ช่วงฤดูหนาวหมั่นให้น้ำเพิ่มและคอยดูเพลี้ยที่จะลง เป็นเพลี้ยตัวอ่อน เพลี้ยเหลือง ทำให้ใบร่วงหลุด วิธีฆ่าเพลี้ยง่ายๆให้ผสมน้ำผงซักฟอกแล้วฉีดไปตามใบก็พอช่วยบรรเทา เสริมด้วยการบำรุงให้ต้นลั่นทมแข็งแรง ต้นก็จะไปกำจัดเพลี้ยได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ



อมอรเบิกฟ้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ Mandevilla amoena hort.
ตระกูล Rose Dipladenia
ชื่อสามัญ -
ถิ่นกำเนิด บราซิล
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้เถาเลื้อยประเภทเนื้อแข็ง ขนาดกลาง มีอายุยืนยาวหลายปี ทุกส่วนของลำต้นกิ่งใบและดอกมียางสีขาว ใบหยาบสีเขียวเข้มรูปรีแกมไข่ยาว ขนาดกว้าง 1 - 2 นิ้ว ยาว 2-4 นิ้ว ปลายใบเรียวแหลมโคนมนสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกสีขาวอมชมพูและชมพู ออกเป็นช่อตามซอกใบ ช่อละ 3 - 4 ดอก ดอกทรงรูปแตรโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบๆ มี 5 กลีบด้วยกัน เรียงเวียนตามเข้มนาฬิกา ดอกใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-4 นิ้ว เป็นดอกที่งามอ่อนหวาน ดอกบานทน 5 - 6 วัน กลีบดอกอ่อนพลิ้ววดอกสีสวยเอามากๆ ฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดทั้งปีสภาพการปลูก อมรเบิกฟ้า เป็นไม้กลางแจ้ง แสงแดดจัด ชอบดินโปร่ง น้ำปานกลาง แสงแดดต้องเต็มๆวันถ้าไม่เต็มวันควรปลูกในที่มีแดดส่องในยามเช้าสักครึ่งวันจะดีกว่าการขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการปักชำและการตอนกิ่งการดูแลรักษา ปลูกได้ในดินทุกชนิด ดินที่ใช้ปลูกต้องโปร่งและระบายน้ำได้ดี ให้ปลูกโหย่งโคนรากขึ้นเหนือผิวดินสักหน่อยจะช่วยให้ต้นไม้ไม่สำลักน้ำเมื่อฝนตกหนักๆ ต้นอมรเบิกฟ้าค่อนข้างอ่อนไหวง่ายกับน้ำท่วมขังรากจะเน่าง่ายมาก และถ้าดินแน่นแข็ง ต้นก็จะแคระแกร็น มีดอกน้อยให้ดอกเล็ก แสงแดดต้องเต็มวันจะช่วยให้ดอกที่สมบูรณ์ ดอกโต สีสันสดใส การปลูกเป็นซุ้มไม้เลื้อยที่ไม่สูง อาจปลูกเป็นกระโจมในกระถางที่ใหญ่สักหน่อยหรือปลูกให้เลื้อยเถาไปตามรั้วไม้เตี้ยๆก็จะดี ถ้าปล่อยให้เลื้อยสูงต้นจะผอมแกร็นไม่แตกกิ่งไม่ให้ดอก


อรุณเบิกฟ้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ Mandevilla amoena hort.
ตระกูล Rose Dipladenia
ชื่อสามัญ -
ถิ่นกำเนิด บราซิล
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้เถาเลื้อยประเภทเนื้อแข็ง ขนาดกลาง มีอายุยืนยาวหลายปี ทุกส่วนของลำต้นกิ่งใบและดอกมียางสีขาว ใบหยาบสีเขียวเข้มรูปรีแกมไข่ยาว ขนาดกว้าง 1 - 2 นิ้ว ยาว 2-4 นิ้ว ปลายใบเรียวแหลมโคนมนสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกสีขาวอมชมพู ออกเป็นช่อตามซอกใบ ช่อละ 3 - 4 ดอก ดอกทรงรูปแตรโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบๆ มี 5 กลีบด้วยกัน เรียงเวียนตามเข้มนาฬิกา ดอกใหญ่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-4 นิ้ว เป็นดอกที่งามอ่อนหวาน ดอกบานทน 5 - 6 วัน กลีบดอกอ่อนพลิ้วดอกสีสวยเอามากๆ ฤดูกาลออกดอก ออกดอกตลอดทั้งปีสภาพการปลูก อรุณเบิกฟ้า เป็นไม้กลางแจ้ง แสงแดดจัด ชอบดินโปร่ง น้ำปานกลาง แสงแดดต้องเต็มๆวันถ้าไม่เต็มวันควรปลูกในที่มีแดดส่องในยามเช้าสักครึ่งวันจะดีกว่าการขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการปักชำและการตอนกิ่งการดูแลรักษา ปลูกได้ในดินทุกชนิด ดินที่ใช้ปลูกต้องโปร่งและระบายน้ำได้ดี ให้ปลูกโหย่งโคนรากขึ้นเหนือผิวดินสักหน่อยจะช่วยให้ต้นไม้ไม่สำลักน้ำเมื่อฝนตกหนักๆ ต้นอรุณเบิกฟ้าค่อนข้างอ่อนไหวง่ายกับน้ำท่วมขังรากจะเน่าง่ายมาก และถ้าดินแน่นแข็ง ต้นก็จะแคระแกร็น มีดอกน้อยให้ดอกเล็ก แสงแดดต้องเต็มวันจะช่วยให้ดอกที่สมบูรณ์ ดอกโต สีสันสดใส การปลูกเป็นซุ้มไม้เลื้อยที่ไม่สูง













ไม่มีความคิดเห็น:

นาฬิกาโลก